เรื่องแรกสุดคือสร้างสายสัมพันธ์ (attachment)
ดังที่ทราบกันแล้วว่าพัฒนาการที่สำคัญที่สุดในช่วง 3 ขวบปีแรกของมนุษย์
คือการสร้างสายสัมพันธ์กับแม่ หรือพ่อ อย่างแข็งแรงมากที่สุด
สายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในสามขวบปีแรกนี้จะทำหน้าที่กำกับชีวิตของเด็กๆ
ให้อยู่ในเส้นทางที่ดีตลอดกาลนาน
การอ่านหนังสือวันละ 15 นาทีให้ลูกฟังก่อนนอนเป็นกิจกรรมที่ง่ายมาก
ในการประกันว่าพ่อแม่จะได้อยู่ใกล้ลูกแน่ๆ อย่างน้อยก็ทุกวันๆละ 15 นาที
ได้เห็นหน้า ได้ยินเสียง ได้แตะเนื้อต้องตัว และมีปฏิสัมพันธ์
ทำให้เด็กเล็กสามารถสร้างพ่อแม่ที่มีอยู่จริงขึ้นมา
สร้างสายสัมพันธ์กับพ่อแม่ และสร้างตัวตน (self) ที่แข็งแรงมากในที่สุด
ตัวตนคือรากฐานของพัฒนาการอีกหลายๆ เรื่องในอนาคต
เรื่องถัดมาคือพัฒนาการด้านภาษา
ระหว่างที่พ่อแม่ลูกนอนอ่านนิทานด้วยกัน
เด็กเล็กจะมองเห็นเส้นสายตัวอักษรคืออักขระ
และได้ยินเสียงพ่อแม่อ่านหนังสือไปตามอักขระ
ด้วยกระบวนการนี้ทุกวัน วันละ 15 นาที
สมองของเด็กจะพัฒนาความสามารถที่เรียกว่าการให้สัญลักษณ์ (symbolization)
กล่าวคือรู้ว่า “เส้น” มิได้เป็นเพียงแค่เส้น แต่มีสัญลักษณ์ซ่อนอยู่ภายใต้เส้นนั้น
นี่คือโครงสร้างที่สำคัญมากของสมองในวันหน้า
นั่นคือความสามารถที่จะให้สัญลักษณ์ ใช้สัญลักษณ์ และถอดความหมายของสัญลักษณ์
เป็นรากฐานของการใช้ภาษาทั้งการอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์
ไม่นับศาสตร์ด้านอื่นๆ รวมทั้งความสามารถที่จะใช้อุปมาอุปมัย (metaphor)
เรื่องถัดมาคือพัฒนาการด้านการคิด
เด็กเล็กไม่เพียงเห็นเส้นสายที่ก่อรูปเป็นอักขระ
แต่เขาจะเห็นรูปภาพประกอบนิทานด้วย เช่น ช้าง
รูปช้างที่เด็กเห็นในวันแรกจะกระตุ้นวงจรประสาทในสมองให้ทำงาน
วงจรประสาทที่ถูกกระตุ้นนั้นจะได้เห็นและรับข้อมูลรูปภาพอื่นๆ อีกในเวลาต่อมา
เช่น ช้างจากหนังสืออีกเล่มหนึ่ง
ทำให้วงจรประสาทนั้นพัฒนาไปอีก ช้างคือสัตว์ที่มีหูใหญ่
มีอะไรบางอย่างที่ยืดยาวออกมาระหว่างตา และใจดี
ความคิดเรื่องช้างจะแปรเปลี่ยนไปทุกวัน
มีบ้างบางวันที่เด็กเล็กนอนหลับตาฟังนิทานโดยไม่ดูรูป
สมองของเขาจะวาดภาพช้างตัวใหม่ขึ้นมาอีก
ช้างนั้นจะแปรเปลี่ยนไปทุกวัน
แล้วแต่สมองรับรู้เรื่องช้างมากน้อยเพียงใด
ที่มหัศจรรย์คือถึงแม้ว่าวันหนึ่งเขาจะได้เห็นช้างจริงๆ เดินในสวนสัตว์
แต่ช้างในสมองของเขาก็ยังมีหลายรูปแบบให้เขาเลือกใช้
และต่อยอดความคิดไปตามสถานการณ์
จะเห็นว่านี่คือสมองที่เปิดกว้างและไร้ขีดจำกัดอย่างแสนมหัศจรรย์
เรื่องถัดมาคือพัฒนาการด้านสติปัญญา
สติปัญญาที่แท้เกิดจากความเชื่อมโยง (connection)
มิได้เกิดจากความจำหรือการท่องจำ
การอ่านนิทานก่อนนอนทุกวันๆ ละ 15 นาที
จนกระทั่งสร้างนักอ่านขึ้นมาจนได้ในตอนท้าย
จะช่วยให้สมองของเขามีวงจรประสาทนับล้านที่เชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึง
ไม่แยกส่วน สามารถเชื่อมศาสตร์หนึ่งไปสู่อีกศาสตร์หนึ่งโดยอัตโนมัติ
อย่างที่เรียกว่าไม่ต้องพยายามคิดหัวแทบแตก
สมองจะพัดพาความคิดไปเอง เช่น จากช้างเอราวัณของพระอินทร์
เชื่อมไปสู่โครงสร้างทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เป็นต้น
เรื่องถัดมาคือเรื่องจิตใจ
นิทานก่อนนอนในปฐมวัยเป็นการผจญภัยไปในดินแดนต่างๆ ในบ้าน นอกบ้าน
ในโลก นอกโลก ใต้น้ำ อวกาศ ใต้ดิน ยอดเขา
ไปจนถึงในจินตนาการ เช่น บนเขาไกรลาศหรือยอดเขาโอลิมปัส
ด้านเนื้อเรื่องของนิทานก็มีตั้งแต่สุขสันต์นิรันดรไปจนถึงเรื่องราวด้านมืดของความเป็นมนุษย์
คือ รัก โลภ โกรธ หลง ชีวิต ความตาย รวมทั้งภูตผีปีศาจ
สารพัดเรื่องราวที่จะเข้าไปรวบกวนจิตใจ ทั้งด้านบวกด้านลบด้านสว่างด้านมืดด้านดีด้านร้าย
ทำให้จิตใจต้องพัฒนากลไกป้องกันตัวทางจิตใจในระดับจิตใต้สำนึก
(unconscious defense mental mechanism)
เพื่อเตรียมรับมือความเป็นจริงของชีวิต (reality) ที่จะมีทั้งสุขทุกข์ดีร้ายและร้ายที่สุดเวียนกันเข้ามาหา
การอ่านนิทานก่อนนอนคือการสร้างเกราะป้องกันตัวที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง
เรื่องถัดมาคือวินัยการนอน
จริงอยู่ที่ว่า 15 นาทีนั้นตอนไหนก็ได้ แต่ 15 นาทีก่อนนอนมีประโยชน์ของแถมบางข้อ
ที่สำคัญคือการจัดสภาพแวดล้อมก่อนนอนให้สงบ
ห้องนอนหรือเขตนอนไม่กว้างเกินไป สะอาด ปราศจากฝุ่น ไม่รกรุงรังเกินสมควร
ไฟสว่างพอที่จะอ่านหนังสือแต่ไม่รบกวนการนอน
พ่อแม่ตัวเป็นๆ มาอยู่ด้วยกัน วางมือถือ อ่านนิทานด้วยน้ำเสียงสงบพอสมควร
เหล่านี้เป็นการเตรียมคลื่นสมองการนอนเข้าสู่ระยะพักเพื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่การนอนระยะต่อไป
อันจะนำไปสู่การนอนที่สงบ ลึก ได้พักผ่อน และการฝันที่ดี เหมาะสม ไม่มากไปไม่น้อยไป
คือการพักเครื่อง จัดระเบียบข้อมูลในแต่ละวัน เพื่อเตรียมตัวตื่นขึ้นพบวันใหม่
อันจะทำให้ได้สมองที่ดีที่สุด
“อ่าน 15 นาทีทุกวัน สร้างมหัศจรรย์แห่งชีวิต”
แหล่งข้อมูล FB นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์, Health Today กันยายน 2560